โครงงานสะเต็มศึกษา
หน่วยบูรณาการวิถีพอเพียง
หน่วยบูรณาการวิถีพอเพียง
เรื่อง ลูกวรนารีในวิถีพอเพียงและสารเคมีในชีวิตประจำวัน
โดย
1.เด็กหญิง อัญชิสา ประสมสุข เลขที่ 42 ม.2/7
2.เด็กหญิง พัชรี มณี เลขที่ 28 ม.2/7
3.เด็กหญิงนาตยา อุนตรีจันทร์ เลขที่ 22 ม.2/7
4.เด็กหญิง ชวัลรัตน์ รัตนี เลขที่ 16 ม.2/7
5. หยาดฝน หีมชูด เลขที่ 41 ม.2/7
ครูประจำวิชา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ :ครู จุฑามาศ
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ :ครู สุฐิยา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย :ครู กัลยาณี
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม :ครู เฉลิมศรี
กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษา และพลศึกษา :ครู จราภรณ์/ครูธีรยุทธ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ :ครู สุเมศ
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี :ครู สุนันทา
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ :ครู จำเนียน
กลุ่มสาระการเรียนรู้กิจกรรมแนะแนว :ครู อรพินท์
โรงเรียนวรนารีเฉลิม จังหวัดสงขลา
รายงานนี้เป็นส่วนประกอบของโครงงานสะเต็ม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่2/7
บทคัดย่อ
โครงงานสะเต็มเรื่อง
น้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
มีวัตถุประสงค์เพื่อลดปัญหาการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันช่วยลดปัญหาค่าใช้จ่ายในครัวเรือนและยังไม่เกิดโรคทางผิวหนังอีกด้วยส่วนประกอบโครงงาน
บทคัดย่อ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญรูปภาพ บทนำ เอกสารที่เกี่ยวข้อง
วิธีการดำเนินโครงงาน ผลการดำเนินงาน สรุปอภิปรายและข้อเสนอแนะ บรรณานุกรม
ภาคผนวนวิธีการดำเนินงาน1.ประชุมแบ่งงานกันภายในกลุ่ม
2.หาซื้ออุปกรณ์ที่ใช้ได้แก่ เปลือกสับประรด ถังขนาดพอประมาณ
น้ำตาลทรายแดง 3.เริ่มขั้นตอนในการทำ 1. นำสับปะรดหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2.ผสมน้ำตาลทรายแดงกับสับปะรดเข้าด้วยกัน 3.ปิดฝาวางไว้ในที่ร่ม
สรุปผลการดำเนินการการที่ได้ทำน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรดเป็นผลดีต่อบุคคลที่นำไปศึกษาและเป็นประโยชน์ต่อผู้ผลิตขึ้นอีกด้วย
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทที่1บทนำ 1
1.1 แนวคิดที่มาของโครงงาน 1
1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1
1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1
1.4 ประโยชน์ที่ได้รับ 1
บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2
2.1.............................. 4
บทที่3 วิธีการดำเนินโครงงาน 5
3.1วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ 5
3.2 ขั้นตอนการดำเนินโครงงาน 5
บทที่4 ผลการดำเนินงาน 7
4.1 ผลการดำเนินงาน 7
4.2 การนำไปใช้ 7
บทที่5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 8
5.1 สรุปผลการดำเนินงานโครงงาน 8
5.2 ปัญหาและอุปสรรค 8
5.3ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา 8
บรรณานุกรม 9
กิตติกรรมประกาศ
โครงการสะเต็มศึกษาครั้งนี้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยเพราะทุกคนในกลุ่มให้ความร่วมมือกันช่วยเหลือกันจึงทำให้โครงงานสะเต็มศึกษาในหัวข้อน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
ขอขอบพระคุณ คุณครู เฉลิมศรีและ คุณครู จำเนียร
ซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาที่ช่วยให้คำแนะนำชี้ทางในการทำโครงงานสะเต็มในหัวข้อน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
คณะผู้จัดทำ
นาตยา อุนตรีจันทร์
ชวัลรัตน์ รัตนี
พัชรี มณี
หยาดฝน หีมชูด
บทที่1
บทนำ
1 .แนวคิดที่มาและความสำคัญของโครงงาน
กล่าวถึงความเป็นมา
เหตุจูงใจในการทำโครงงานเรื่องนี้ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรด้านการเกษตร
มีพืชผักผลไม้มากมายเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้ออกผลก็จะมีมากล้นตลาด
ดังนั้นรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้นำผลไม้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้นรวมถึงการถึงการตื่นตัวของคนไทยในการนำพืชผักผลไม้ผลไม้มาใช้ประโยชน์โดยการหลีกเลี่ยงสารเคมีการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลายและมีสารเคมีมีพิษอยู่ด้วยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและแก้ไข้ปัญหามลพิษอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขสารมีพิษตกค้างทั้งในน้ำอากาศและดินรวมทั้งในอาหารล้วนมีสารพิษตกค้างทั้งสิ้นน้ำหมักจากเปลือกผลไม้เป็นสารละลายเข้มข้นได้จากการหมักเศษพืชผักผลไม้กับสารที่ให้ความหวานจนถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์เมื่อผ่านกระบวนการแล้วสารละลายเข้มข้นสีน้ำตาลประกอบไปด้วยจุลินทรีย์
ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงคิดค้นน้ำหมักชีวภาพจากสัปปะรดเพื่อใช้ในประโยชน์ในการล้างห้องน้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
2.
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
2.1เพื่อ
ศึกษาการทำน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
2.2
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ 2.3เพื่อลดการใช้สารเคมี
3. ขอบเขตและข้อจำกัดโครงงาน ทำการศึกษาน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดอุปกรณ์ที่ต้องในการดำเนินงานมีดังนี้สับปะรด
3 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. ประโยชน์ที่ได้รับ
4.1
ได้น้ำหมักชีวภาพจากสับปะรดซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่มีสารพิษตกค้าง
4.2
ลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ
5.นิยามศัพท์
น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดหมายถึงน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ที่มีรสหวาน
บทที่ 2
เอกสารเกี่ยวข้อง
ในการศึกษาโครงงานเรื่อง น้ำหมักชีวภาพจากสัปปะรด
ผู้จัดทำได้รวบรวมแนวคิดต่างๆจากเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
2.1ความเป็นมาของสัปปะรด
สับปะรด ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Ananascomosus (L.) Merr.เป็นผลไม้ที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน
ลักษณะผิวจะต่างกับผลไม้ชนิดอื่นมีเปลือกหนามีตาเป็นปุ่มทั่วผลเป็นผลไม้เศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งเลยของประเทศไทยเพราะปลูกง่ายขึ้นได้กับดินทุกสภาพที่ปลอดสารเคมี
นอกจากนี้เจ้าผลไม้ชนิดนี้ยังข้นชื่อในเรื่องการแปรรูปไม่ว่าจะแปรรูปมาอยู่ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค
ในปัจจุบันนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากใยสับปะรดมาแปรรูปเป็นทั้งกระดาษและเทปกาวอีกด้วยเนื่องจากมีใยอาหารที่มีคุณภาพ
รวมทั้งชาวตะวันตกยังนิยมนำมาทำเป็นแยมและ พาย
อีกด้วยในสับปะรดมีคุณนาประโยชน์มากมายมีสารอาหาร วิตามินb1 b2 c แคลเซียมฟอสฟอรัส ไนอะซีน
ซึ่งสาอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายและร่างกายที่เราต้องการ
สับปะรดเป็นผลไม้ที่อร่อยและมีสุขภาพแต่ก็ไม่สำหรับทุกคนเพราะบริเวณแกนของสับประรดจะมียางอยู่ทำให้ระคายคอได้
นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรค
และยังนิยมสับประรดมาหมักเนื้ออีกด้วยเพราะเมื่อนำเนื้อหมักกับสับปะรดจะทำให้เนื้อนุ่มหน้ากิน
2.2ประโยชน์จากสับปะรด
1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายในร่างกายให้แข็งแรง
จากวิตามินซีที่มีอยู่สูงในสับปะรดจะทำให้ร่างกายติดเชื้อยากและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี 2. สรรพคุณของสับประรด ช่วยดูแลสุขภาพภายในช่องปากให้แข็งแรง ไม่เป็นโรคต่างๆ
เกี่ยวกับช่องปากหรือโรคเหงือก 3. สับปะรดมีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาทำลายเซลล์ในร่างกาย
4. ประโยชน์ของสับปะรด ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส และช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย5. วิตามินซีที่มีสูงในสับปะรดนั้นยังช่วยบรรเทาและรักษาอาการหวัด
ขับเสมหะในลำคอได้
6. ช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ธรรมชาติคือ บรอมีเลน
ที่ย่อยอาหารได้ทั้งสภาวะกรดและด่าง จึงลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง
7. สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งอัมพฤกษ์ อัมพาต
เนื่องจากเอนไซม์บรอมีเลนที่มีอยู่สับปะรดจะไปช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือด
8. เอนไซม์บรอมีเลนยังมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
ที่ช่วยทำลายแบคทีเรียไม่มีประโยชน์ และยังช่วยสมานแผล
ลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย
9. กินสับปะรดเป็นประจำช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เช่น
มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด ฯลฯ
โดยบรอมีเลนจะทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้
10. หากมีอาการท้องผูก ขับถ่ายไม่สะดวก ให้กินสับปะรดหลังอาหารเป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ แต่ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดอาการท้องเสียแทน
11. ใยอาหารในสับปะรดมีสรรพคุณไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
นั่นจึงทำให้เป็นผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
และยังทำให้รู้สึกอิ่มเร็วด้วย
12. บรรเทาอาการจากโรคเกาต์ได้ โดยเอนไซม์บรอมีเลนจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ
และยังช่วยลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ หลังจากการออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือทำงานหนักๆ
13. สรรพคุณของสับปะรด มีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออก แก้ขัดเบา รักษาโรคนิ่ว
14. ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย
จัดเป็นยาบำรุงกำลังจากธรรมชาติสำหรับผู้ชายที่ดีมาก
15. สับปะรดก็มีประโยชน์ต่อผู้หญิงเช่นกัน เพราะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ขับประจำเดือนได้ดีขึ้น
16. วิตามินบี 1 และวิตามินบี 6 ในสับปะรดแม้จะมีไม่มากแต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย
เพราะจะช่วยป้องกันอาการเหน็บชา เหนื่อยง่าย
ทำให้ระบบประสาทและเม็ดเลือดทำงานดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย
17. สับปะรดอุดมด้วยแมกนีเซียมและแคลเซียม
ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
18. สับปะรดมีสรรพคุณบรรเทาอาการร้อนกระสับกระส่าย กระหายน้ำ
ไม่ว่าจะกินแบบสดหรือปั่นเป็นน้ำสับปะรดดื่มก็ได้เช่นกัน
2.3กรดในสับปะรดกรด
ซิตริก
แอซิด ในสับปะรดกรดซิตริก (citric acid) เป็นกรดอินทรีย์ (organic acid)เป็นกรดอ่อน (weak acid) มีสูตรโมเลกุล
C6H10O8 พบตามธรรมชาติในอาหารหลายชนิดได้แก่ พืชตระกูลส้ม (citrus) เช่น ส้ม มะนาว และผลไม้หลายชนิด
มะนาวมีกรดซิตริกเป็นส่วนประกอบ 7-9 เปอร์เซ็นต์กรดซิตริกเคยผลิตจากน้ำมะนาว
ปัจจุบันกรดซิตริกส่วนใหญ๋ผลิตจากเชื้อรา Aspergillusniger โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการหมัก คือกากน้ำตาลHydroxy-1,2,3-propane-
tricarboxylic acidการใช้ในอาหารกรดซิตริก เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ที่ใช้อย่างกว้างขวางในอาหาร และเครื่องดื่ม
2.4 ความหมายของน้ำหมักชีวภาพ
น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำจุลินทรีย์ เป็นของเหลว สีดำออกน้ำตาล กลิ่นอมเปรี้ยวอมหวาน
ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เช่น พืช สัตว์ทุกประเภท
สามารถช่วยปรับความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้
บางครั้งยังสามารถนำน้ำหมักชีวภาพไปชำระล้างห้องน้ำได้
ซึ่งจะช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นได้
2.5ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด
1. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
3 เดือนขึ้นไป ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 เทลงในท่อระบายน้ำ ช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ 2. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ 3
เดือนขึ้นไป ผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างภาชนะที่มีคราบไขมัน ช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
และลดปริมาณการใช้น้ำยาทำความสะอาด
3. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
30 วัน ขึ้นไป ใช้เทลงในโถส้วม ท่อระบายน้ำ
ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างทำความสะอาดพื้นห้องสุขา
ลดกลิ่นเหม็นและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้4. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
3 เดือนขึ้นไป ใช้เทลงในท่อระบายน้ำทิ้งจากโรงอาหารช่วยขจัดคราบไขมันอุดตันตามท่อน้ำทิ้ง
ช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้าง ลดการบูดเน่าและกลิ่นเหม็นได้ ปรับสภาพน้ำทิ้งให้ดีขึ้น
ก่อนปล่อยลงท่อน้ำทิ้ง
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.น้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยว
น้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยวนี้มีคุณสมบัติเด่นคือมีความเป็นกรดสูงใช้สำหรับการทำความสะอาดในรูปแบบต่างๆได้ดี
ผลไม้รสเปรี้ยวที่นิยมนำมาหมัก เช่น มะกรูด มะนาว มะเฟือง สับปะรด ส้มป่อย
นำผลไม้ใดมาหมักก็จะเรียกชื่อน้ำหมักตามผลไม้นั้นๆ
ถ้าจะนำมาใช้กับการทำความสะอาดร่างกาย ทำสบู่ ยาสระผม ผสมน้ำอาบ
ก็เลือกใช้วัตถุดิบที่คุณภาพดี
แต่ถ้าจะใช้เพื่อการซักล้างแบบช่วยลดโลกร้อนก็ควรเลือกวัตถุดิบที่คนส่วนใหญ่เขาทิ้งแล้ว(แต่ไม่เน่าเสีย
ไม่สกปรก) เช่น เนื้อมะกรูดที่นำผิวไปทำพริกแกงแล้ว(ขอได้จากร้านที่ทำพริกแกงขาย)
ผลมะเฟืองที่สุกงอมหรือถูกแมลงเจาะทำลายแล้วร่วงเกลื่อนอยู่ใต้ต้น
เปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวที่คั้นน้ำไปใช้แล้ว เปลือกสับปะรด
เปลือกส้มโอ(ขอได้จากแม่ค้า) ซึ่งน้ำที่ได้จากหมักผลไม้รสเปรี้ยวนี้จะมีฤทธิ์เป็นกรดจัด
มีค่าpH ประมาณ 3 -3.5 กรดที่ได้นี้มีคุณสมบัติช่วยสลายไขมันหรือขจัดคราบสกปรกต่างๆได้ดีและจะมีกลิ่นหอมของผลไม้หรือกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกของผลไม้
นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณอื่นๆตามชนิดของผลไม้ที่นำมาหมักนอกจากนี้ จุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์(EM)ที่อยู่ในน้ำหมักชีวภาพ จะไปช่วยยับยั้งการทำงานของจุลินทรีย์กลุ่มทำลาย
ทำให้ช่วยลดปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันที่เกิดจากเชื้อโรคได้ด้วย
แถมประหยัดเงินไม่ต้องซื้อของใช้ ไม่ต้องเสียค่ากำจัดขยะ
ประหยัดแรงงานและเวลาในการทำความสะอาด และน้ำทิ้งจากการซักล้างต่างๆ
จะทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าน้ำที่ซักล้างด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ทำจากสารเคมี
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสเปรี้ยว(แก่จัดหรือสุก-ใช้ทั้งเปลือก)
3 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ
1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด
10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM) ชนิดน้ำ ปริมาณเล็กน้อย
การหมักผลไม้บางชนิดไม่ต้องใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ก็ได้
เช่น มะเฟืองสุก สับปะรดสุกงอมทั้งเปลือก เปลือกสับปะรด มะกรูด องุ่น
เพราะผลไม้พวกนี้จะมีจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)อยู่ในตัวเองแล้ว
ถ้าไม่มีหัวเชื้อจุลินทรีย์EM จะใช้นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต(มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส
1 ขวด ) แป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
หรือน้ำดองผัก-ผลไม้ที่กลิ่นดี 1/2 แก้วแทนได้ วิธีทำ
ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำสะอาดในถังพลาสติก
คนให้น้ำตาลละลาย
จากนั้นหั่นผลไม้ตามขวางให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงในถังที่ละลายน้ำตาลไว้
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) แล้วปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้ประมาณ 1-3 เดือน
ขึ้นอยู่กับว่าจะนำน้ำหมักนั้นมาใช้ประโยชน์อะไร การหมักในระยะ
1-2 สัปดาห์แรกจะเกิดฟองอากาศขึ้นมาจำนวนมาก
มีฝ้าสีขาวขึ้นที่ผิวด้านบนน้ำหมัก และมีกลิ่นหอมคล้ายไวน์
นั่นถือว่าการหมักได้ผลดี
แต่ถ้าที่ผิวหน้ามีราสีดำขึ้นและมีกลิ่นเหม็นเน่า
แสดงว่าเกิดการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ตัวร้ายไม่ควรนำไปใช้งาน
ถ้านำไปเททิ้งที่ใดที่นั่นก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่ามากๆไปนานเลย กลิ่นเหมือนส้วมแตก
ถ้าเทบนลานปูนซีเมนต์ที่ถูกแสงแดดจัดๆส่องตลอดวันก็จะหายเหม็นเร็วขึ้นหน่อย
แต่ก็มีบางคนนำไปใช้กำจัดวัชพืชโดยใช้ชนิดเข้มข้นฉีดพ่นไปบนใบวัชพืช
ใบวัชพืชจะแห้งเหี่ยวเฉาตาย
แต่ขอบอกว่า"เหม็นมาก"และเหม็นนานกว่าจะหาย
และเมื่อวัชพืชตายแล้วต้องฉีดพ่นซ้ำด้วยEMเพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้ฟื้นกลับคืนมา
2. น้ำหมักจากผลไม้รสฝาด
ผลไม้ที่มีรสฝาด เช่น มังคุด
ทับทิม ลูกหว้า เปลือกมังคุด เปลือกทับทิม จะมีกรดอินทรีย์
วิตามินซี ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสารแทนนิน น้ำหมักที่ได้จะมีฤทธิ์เป็นกรดและมีความฝาด
ซึ่งความฝาดนี้จะมีสรรพคุณในการสมานแผลและยับยั้งหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์จำพวกเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
จึงสามารถนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดนี้ไปผสมน้ำอาบหรือผสมสบู่ล้างหน้า-อาบน้ำ
จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิวหรือแผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยลดกลิ่นตัวได้
นอกจากนี้ยังนำไปใชในการป้องกันกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดได้ด้วย
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสฝาด
(แก่จัด-ใช้ได้ทุกส่วน) 3 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ
หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)
ชนิดน้ำ ปริมาณเล็กน้อย
อัตราส่วนและวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดคล้ายกับการทำน้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยว แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ควรเปลี่ยนส่วนผสมจากน้ำตาลทรายธรรมชาติมาเป็นกากน้ำตาลเพื่อลดต้นทุนการผลิต
วิธีทำ
ผสมน้ำตาลทรายหรือกากน้ำตาลกับน้ำสะอาดในถังพลาสติกให้ละลายเข้ากันดี
จากนั้นหั่นผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ (สำหรับลูกหว้าควรตำให้เมล็ดแตก
เพราะความฝาดจะอยู่ที่เมล็ดมากกว่า) ใส่ผลไม้ลงในถังที่ละลายน้ำตาลไว้
เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)ลงไปเล็กน้อย(ถ้าเคยหมักน้ำหมักชีวภาพมะเฟืองมาแล้ว
อาจตักแผ่นวุ้นจากผิวหน้าน้ำหมักฯมะเฟืองมาใส่ก็ได้)
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) แล้วปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้อย่างน้อย 3 เดือน การหมักในระยะ 1-2 สัปดาห์แรกจะเกิดฟองอากาศขึ้นมาจำนวนมาก มีฝ้าสีขาวขึ้นที่ผิวด้านบนน้ำหมัก
และมีกลิ่นหอมคล้ายไวน์ นั่นถือว่าการหมักได้ผลดี
การนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดไปใช้ประโยชน์
-ใช้ผสมน้ำล้างหน้า-อาบ
ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำ 1 ส่วน ต่อน้ำ 30-50 ส่วน จะช่วยลดสิวอักเสบ ลดกลิ่นตัว ช่วยบำบัดและรักษาโรคผิวหนังบางชนิด
- ใช้เป็นส่วนผสมในสบู่เหลวอาบน้ำใช้น้ำหมักชีวภาพผสมในสบู่อาบน้ำ-ล้างหน้า
(3-5 %) จะทำให้ผิวสะอาด ช่วยอาการอักเสบของสิว
ช่วยลดกลิ่นตัว ช่วยบำบัดและรักษาโรคผิวหนังพุพองบางชนิด- ใช้ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราใช้น้ำหมักชีวภาพ
30-50 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร
แช่เมล็ดพันธุ์พืชก่อนปลูก
ช่วยป้องกันเมล็ดพันธุ์หรือต้นกล้าเน่าที่มีสาเหตุจากเชื้อรา หรือฉีดพ่นให้ต้นพืช
ฉีดพ่นในแปลงปลูก เป็นประจำ หรือปล่อยไปกับน้ำที่ไขเข้าในนา จะช่วยป้องกันโรค
ที่มีสาเหตุจากเชื้อราบางชนิดได้
3. น้ำหมักผลไม้รวม
การหมักผลไม้ที่มีรสหวานมันหรือผลไม้ที่มีเนื้อสีเหลือง-ส้ม-แดง
โดยใช้ทั้งเปลือกและเมล็ด เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก
ฟักทองแก่จัด มะม่วงสุก ขนุนสุก ทุเรียนสุก ฯลฯ ใช้ผลไม้หลายๆชนิดหมักรวมกัน
น้ำหมักที่ได้จะมีคุณสมบัติเป็นฮอร์โมนบำรุงดอกและผล
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสหวานมันหลายๆชนิด (แก่จัด-สุกงอม-ใช้ได้ทุกส่วน)
3 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)
วิธีทำ
หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ
คลุกเคล้าผลไม้กับกากน้ำตาลและหัวเชื้อจุลินทรีย์ ใส่ลงในถังพลาสติก
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) จากนั้นปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้จนครบ 7 วัน จึงเปิดฝาถัง เติมน้ำสะอาด 10 ลิตร คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วปิดฝาถังให้สนิทหมักต่อไปและต้องหมักไว้ไม่ต่ำกว่า
3 เดือน จึงจะนำมาใช้ได้ เพื่อให้ปูนขาวที่อยู่ในกากน้ำตาลสลายตัวจนหมดหรือยิ่งหมักนานๆยิ่งดี
ถ้ากากน้ำตาลในน้ำหมักฯยังสลายตัวไม่หมดแล้วนำน้ำหมักฯมาใช้กับพืชติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อพืชได้
เพราะจะทำให้หน้าดินแข็งหรืออาจมีศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยและมดมาทำลายพืชได้
การนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รวมไปใช้ประโยชน์- ใช้บำรุงต้นพืชจำพวกไม้ดอกและไม้ผล
ใช้น้ำหมักชีวภาพ
1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่นให้ต้นพืชหรือฉีดพ่นในแปลงปลูกเป็นประจำ จะช่วยบำรุงให้พืชออกดอกออกผลดี
ผลไม้รสชาติอร่อย
บทที่3
วิธีการดำเนินโครงงาน
3.1วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ
1. เปลือกสับปะรด 3กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

2.หั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็กๆ
3.ใส่สับปะรดลงในถังดำ 3 กิโลกรัม
4.ใส่น้ำตาล1กิโลกรัมใส่ให้ทั่วถัง
5.คนให้เข้าๆกันจนกว่าน้ำตาลจะละลายจนหมด
6.ปิดฝาวางไว้ในที่ร่มรอจน
3-4 เดือน
บทที่4
ผลการดำเนินงาน
4.1 ผลการดำเนินงาน
การจัดทำโครงงานน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดผู้จัดทำได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่บทที่
3แล้วได้รู้ว่าการทำน้ำหมักจากธรรมชาติซึ่งไม่มีสารเคมีปนเปื้อนมันก็จะดีกว่าการเอาน้ำยาล้างพื้นที่ที่มีสารเคมีมาใช้ต่อสิ่งแวดล้อมแล้วไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเราอีกด้วยซึ่งทางผู้จัดทำได้ทำการทดลองมันก็สามารถขัดพื้นได้สะอาดจริงแล้วถ้านำไปพัฒนาต่อก็สามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวได้อีกด้วย
4.2
การนำไปใช้
ใช้ในการขัดพื้นห้องน้ำถ้าเหลือสามารถนำไปล้างจานได้อีกด้วย
บทที่5
สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ
5.1
สรุปผลการดำเนินโครงงาน
จากผลการทดลองน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดสรุปได้ว่า
การทำน้ำหมักจากธรรมชาติที่ไร้สารเคมีได้ประสิทธิภาพจริงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำหมักชีวภาพจะได้กลิ่นเปรี้ยวอมหวานและความเข้มข้นที่ย่อยเป็นจุลินทรีย์ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการล้างพื้นห้องน้ำได้จริง
5.2
ปัญหาและอุปสรรค
1. เวลาว่างของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
ไม่ค่อยตรงกัน
2.เงินไม่ค่อยเพียงพอต่อการหาซื้ออุปกรณ์และทำรายงาน
3. การปฏิบัติโครงงานมีการลงพื้นที่บ่อยครั้ง
5.3ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา
สามารถนำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหรือรสหวานมาทำน้ำหมักชีวภาพได้อีก
เช่น มะกรูด มะนาว
หน้า
บทคัดย่อ ก
กิตติกรรมประกาศ ข
สารบัญ ค
บทที่1บทนำ 1
1.1 แนวคิดที่มาของโครงงาน 1
1.2 วัตถุประสงค์ของโครงงาน 1
1.3 ขอบเขตของโครงงาน 1
1.4 ประโยชน์ที่ได้รับ 1
บทที่2 เอกสารที่เกี่ยวข้อง 2
2.1.............................. 4
บทที่3 วิธีการดำเนินโครงงาน 5
3.1วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ 5
3.2 ขั้นตอนการดำเนินโครงงาน 5
บทที่4 ผลการดำเนินงาน 7
4.1 ผลการดำเนินงาน 7
4.2 การนำไปใช้ 7
บทที่5 สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ 8
5.1 สรุปผลการดำเนินงานโครงงาน 8
5.2 ปัญหาและอุปสรรค 8
5.3ข้อเสนอแนะและแนวทางในการพัฒนา 8
บรรณานุกรม 9
กิตติกรรมประกาศ
โครงการสะเต็มศึกษาครั้งนี้เสร็จลุล่วงไปได้ด้วยเพราะทุกคนในกลุ่มให้ความร่วมมือกันช่วยเหลือกันจึงทำให้โครงงานสะเต็มศึกษาในหัวข้อน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
ขอขอบพระคุณ คุณครู เฉลิมศรีและ คุณครู จำเนียร
ซึ่งเป็นครูที่ปรึกษาที่ช่วยให้คำแนะนำชี้ทางในการทำโครงงานสะเต็มในหัวข้อน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
คณะผู้จัดทำ
นาตยา อุนตรีจันทร์
ชวัลรัตน์ รัตนี
พัชรี มณี
หยาดฝน หีมชูด
บทที่1
บทนำ
1 .แนวคิดที่มาและความสำคัญของโครงงาน
กล่าวถึงความเป็นมา
เหตุจูงใจในการทำโครงงานเรื่องนี้ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากรด้านการเกษตร
มีพืชผักผลไม้มากมายเมื่อถึงฤดูกาลผลไม้ออกผลก็จะมีมากล้นตลาด
ดังนั้นรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมให้นำผลไม้ภูมิปัญญาท้องถิ่นมาพัฒนาให้มีศักยภาพมากขึ้นรวมถึงการถึงการตื่นตัวของคนไทยในการนำพืชผักผลไม้ผลไม้มาใช้ประโยชน์โดยการหลีกเลี่ยงสารเคมีการใช้สารเคมีในชีวิตประจำวันกันอย่างแพร่หลายและมีสารเคมีมีพิษอยู่ด้วยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและแก้ไข้ปัญหามลพิษอย่างเร่งด่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขสารมีพิษตกค้างทั้งในน้ำอากาศและดินรวมทั้งในอาหารล้วนมีสารพิษตกค้างทั้งสิ้นน้ำหมักจากเปลือกผลไม้เป็นสารละลายเข้มข้นได้จากการหมักเศษพืชผักผลไม้กับสารที่ให้ความหวานจนถูกย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์เมื่อผ่านกระบวนการแล้วสารละลายเข้มข้นสีน้ำตาลประกอบไปด้วยจุลินทรีย์
ดังนั้นคณะผู้จัดทำจึงคิดค้นน้ำหมักชีวภาพจากสัปปะรดเพื่อใช้ในประโยชน์ในการล้างห้องน้ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
2.
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
2.1เพื่อ
ศึกษาการทำน้ำหมักชีวภาพจากสับปะรด
2.2
เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ 2.3เพื่อลดการใช้สารเคมี
3. ขอบเขตและข้อจำกัดโครงงาน ทำการศึกษาน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดอุปกรณ์ที่ต้องในการดำเนินงานมีดังนี้สับปะรด
3 กิโลกรัม น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. ประโยชน์ที่ได้รับ
4.1
ได้น้ำหมักชีวภาพจากสับปะรดซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่มีสารพิษตกค้าง
4.2
ลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการซื้อน้ำยาล้างห้องน้ำ
5.นิยามศัพท์
น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดหมายถึงน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้ที่มีรสหวาน
บทที่ 2
เอกสารเกี่ยวข้อง
ในการศึกษาโครงงานเรื่อง น้ำหมักชีวภาพจากสัปปะรด
ผู้จัดทำได้รวบรวมแนวคิดต่างๆจากเอกสารที่เกี่ยวข้องดังต่อไปนี้
2.1ความเป็นมาของสัปปะรด
สับปะรด ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Ananascomosus (L.) Merr.เป็นผลไม้ที่มีลำต้นอยู่ใต้ดิน
ลักษณะผิวจะต่างกับผลไม้ชนิดอื่นมีเปลือกหนามีตาเป็นปุ่มทั่วผลเป็นผลไม้เศรษฐกิจอีกตัวหนึ่งเลยของประเทศไทยเพราะปลูกง่ายขึ้นได้กับดินทุกสภาพที่ปลอดสารเคมี
นอกจากนี้เจ้าผลไม้ชนิดนี้ยังข้นชื่อในเรื่องการแปรรูปไม่ว่าจะแปรรูปมาอยู่ในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค
ในปัจจุบันนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากใยสับปะรดมาแปรรูปเป็นทั้งกระดาษและเทปกาวอีกด้วยเนื่องจากมีใยอาหารที่มีคุณภาพ
รวมทั้งชาวตะวันตกยังนิยมนำมาทำเป็นแยมและ พาย
อีกด้วยในสับปะรดมีคุณนาประโยชน์มากมายมีสารอาหาร วิตามินb1 b2 c แคลเซียมฟอสฟอรัส ไนอะซีน
ซึ่งสาอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายและร่างกายที่เราต้องการ
สับปะรดเป็นผลไม้ที่อร่อยและมีสุขภาพแต่ก็ไม่สำหรับทุกคนเพราะบริเวณแกนของสับประรดจะมียางอยู่ทำให้ระคายคอได้
นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรค
และยังนิยมสับประรดมาหมักเนื้ออีกด้วยเพราะเมื่อนำเนื้อหมักกับสับปะรดจะทำให้เนื้อนุ่มหน้ากิน
2.2ประโยชน์จากสับปะรด
1. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายในร่างกายให้แข็งแรง
จากวิตามินซีที่มีอยู่สูงในสับปะรดจะทำให้ร่างกายติดเชื้อยากและต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ
ได้เป็นอย่างดี 2. สรรพคุณของสับประรด ช่วยดูแลสุขภาพภายในช่องปากให้แข็งแรง ไม่เป็นโรคต่างๆ
เกี่ยวกับช่องปากหรือโรคเหงือก 3. สับปะรดมีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน และแมงกานีส
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาทำลายเซลล์ในร่างกาย
4. ประโยชน์ของสับปะรด ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง สดใส และช่วยลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย5. วิตามินซีที่มีสูงในสับปะรดนั้นยังช่วยบรรเทาและรักษาอาการหวัด
ขับเสมหะในลำคอได้
6. ช่วยย่อยอาหารจำพวกโปรตีน เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ธรรมชาติคือ บรอมีเลน
ที่ย่อยอาหารได้ทั้งสภาวะกรดและด่าง จึงลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง
7. สามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งอัมพฤกษ์ อัมพาต
เนื่องจากเอนไซม์บรอมีเลนที่มีอยู่สับปะรดจะไปช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือด
8. เอนไซม์บรอมีเลนยังมีฤทธิ์เป็นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆ
ที่ช่วยทำลายแบคทีเรียไม่มีประโยชน์ และยังช่วยสมานแผล
ลดการอักเสบของกระเพาะอาหารและลำไส้ได้ด้วย
9. กินสับปะรดเป็นประจำช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง เช่น
มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งปอด ฯลฯ
โดยบรอมีเลนจะทำให้เม็ดเลือดขาวหลั่งสารไซโตไคน์ (Cytokines) ซึ่งช่วยให้เม็ดเลือดขาวกำจัดเซลล์มะเร็งได้
10. หากมีอาการท้องผูก ขับถ่ายไม่สะดวก ให้กินสับปะรดหลังอาหารเป็นประจำจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ แต่ไม่ควรกินมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดอาการท้องเสียแทน
11. ใยอาหารในสับปะรดมีสรรพคุณไม่เป็นสองรองใครแน่นอน
นั่นจึงทำให้เป็นผลไม้ที่ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี
และยังทำให้รู้สึกอิ่มเร็วด้วย
12. บรรเทาอาการจากโรคเกาต์ได้ โดยเอนไซม์บรอมีเลนจะช่วยยับยั้งอาการอักเสบ
และยังช่วยลดอาการปวดข้อ ข้ออักเสบ หลังจากการออกกำลังกาย เล่นกีฬาหรือทำงานหนักๆ
13. สรรพคุณของสับปะรด มีฤทธิ์ช่วยในการขับปัสสาวะ ปัสสาวะไม่ออก แก้ขัดเบา รักษาโรคนิ่ว
14. ช่วยเพิ่มระดับเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย
จัดเป็นยาบำรุงกำลังจากธรรมชาติสำหรับผู้ชายที่ดีมาก
15. สับปะรดก็มีประโยชน์ต่อผู้หญิงเช่นกัน เพราะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
ขับประจำเดือนได้ดีขึ้น
16. วิตามินบี 1 และวิตามินบี 6 ในสับปะรดแม้จะมีไม่มากแต่มีความจำเป็นต่อร่างกาย
เพราะจะช่วยป้องกันอาการเหน็บชา เหนื่อยง่าย
ทำให้ระบบประสาทและเม็ดเลือดทำงานดีขึ้น ไม่เจ็บป่วยง่าย
17. สับปะรดอุดมด้วยแมกนีเซียมและแคลเซียม
ซึ่งมีส่วนช่วยเสริมสร้างกระดูกและเนื้อเยื่อ ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง
18. สับปะรดมีสรรพคุณบรรเทาอาการร้อนกระสับกระส่าย กระหายน้ำ
ไม่ว่าจะกินแบบสดหรือปั่นเป็นน้ำสับปะรดดื่มก็ได้เช่นกัน
2.3กรดในสับปะรดกรด
ซิตริก
แอซิด ในสับปะรดกรดซิตริก (citric acid) เป็นกรดอินทรีย์ (organic acid)เป็นกรดอ่อน (weak acid) มีสูตรโมเลกุล
C6H10O8 พบตามธรรมชาติในอาหารหลายชนิดได้แก่ พืชตระกูลส้ม (citrus) เช่น ส้ม มะนาว และผลไม้หลายชนิด
มะนาวมีกรดซิตริกเป็นส่วนประกอบ 7-9 เปอร์เซ็นต์กรดซิตริกเคยผลิตจากน้ำมะนาว
ปัจจุบันกรดซิตริกส่วนใหญ๋ผลิตจากเชื้อรา Aspergillusniger โดยวัตถุดิบที่ใช้ในการหมัก คือกากน้ำตาลHydroxy-1,2,3-propane-
tricarboxylic acidการใช้ในอาหารกรดซิตริก เป็นวัตถุเจือปนอาหาร (food additive) ที่ใช้อย่างกว้างขวางในอาหาร และเครื่องดื่ม
2.4 ความหมายของน้ำหมักชีวภาพ
น้ำหมักชีวภาพ หรือ น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำจุลินทรีย์ เป็นของเหลว สีดำออกน้ำตาล กลิ่นอมเปรี้ยวอมหวาน
ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เช่น พืช สัตว์ทุกประเภท
สามารถช่วยปรับความสมดุลของสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตได้
บางครั้งยังสามารถนำน้ำหมักชีวภาพไปชำระล้างห้องน้ำได้
ซึ่งจะช่วยกำจัดกลิ่นเหม็นได้
2.5ประโยชน์ของน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด
1. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
3 เดือนขึ้นไป ผสมกับน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 เทลงในท่อระบายน้ำ ช่วยดับกลิ่นเหม็นได้ 2. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ 3
เดือนขึ้นไป ผสมน้ำสะอาดในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างภาชนะที่มีคราบไขมัน ช่วยให้ล้างง่ายขึ้น
และลดปริมาณการใช้น้ำยาทำความสะอาด
3. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
30 วัน ขึ้นไป ใช้เทลงในโถส้วม ท่อระบายน้ำ
ผสมน้ำในอัตราส่วน 1 : 50 ใช้ล้างทำความสะอาดพื้นห้องสุขา
ลดกลิ่นเหม็นและฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตรายได้4. น้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรด อายุ
3 เดือนขึ้นไป ใช้เทลงในท่อระบายน้ำทิ้งจากโรงอาหารช่วยขจัดคราบไขมันอุดตันตามท่อน้ำทิ้ง
ช่วยย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้าง ลดการบูดเน่าและกลิ่นเหม็นได้ ปรับสภาพน้ำทิ้งให้ดีขึ้น
ก่อนปล่อยลงท่อน้ำทิ้ง
1.น้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยว
น้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยวนี้มีคุณสมบัติเด่นคือมีความเป็นกรดสูงใช้สำหรับการทำความสะอาดในรูปแบบต่างๆได้ดี
ผลไม้รสเปรี้ยวที่นิยมนำมาหมัก เช่น มะกรูด มะนาว มะเฟือง สับปะรด ส้มป่อย
นำผลไม้ใดมาหมักก็จะเรียกชื่อน้ำหมักตามผลไม้นั้นๆ
ถ้าจะนำมาใช้กับการทำความสะอาดร่างกาย ทำสบู่ ยาสระผม ผสมน้ำอาบ
ก็เลือกใช้วัตถุดิบที่คุณภาพดี
แต่ถ้าจะใช้เพื่อการซักล้างแบบช่วยลดโลกร้อนก็ควรเลือกวัตถุดิบที่คนส่วนใหญ่เขาทิ้งแล้ว(แต่ไม่เน่าเสีย
ไม่สกปรก) เช่น เนื้อมะกรูดที่นำผิวไปทำพริกแกงแล้ว(ขอได้จากร้านที่ทำพริกแกงขาย)
ผลมะเฟืองที่สุกงอมหรือถูกแมลงเจาะทำลายแล้วร่วงเกลื่อนอยู่ใต้ต้น
เปลือกส้มหรือเปลือกมะนาวที่คั้นน้ำไปใช้แล้ว เปลือกสับปะรด
เปลือกส้มโอ(ขอได้จากแม่ค้า) ซึ่งน้ำที่ได้จากหมักผลไม้รสเปรี้ยวนี้จะมีฤทธิ์เป็นกรดจัด
มีค่าpH ประมาณ 3 -3.5 กรดที่ได้นี้มีคุณสมบัติช่วยสลายไขมันหรือขจัดคราบสกปรกต่างๆได้ดีและจะมีกลิ่นหอมของผลไม้หรือกลิ่นน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเปลือกของผลไม้
นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณอื่นๆตามชนิดของผลไม้ที่นำมาหมักนอกจากนี้ จุลินทรีย์กลุ่มสร้างสรรค์(EM)ที่อยู่ในน้ำหมักชีวภาพ จะไปช่วยยับยั้งการทำงานของจุลินทรีย์กลุ่มทำลาย
ทำให้ช่วยลดปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวันที่เกิดจากเชื้อโรคได้ด้วย
แถมประหยัดเงินไม่ต้องซื้อของใช้ ไม่ต้องเสียค่ากำจัดขยะ
ประหยัดแรงงานและเวลาในการทำความสะอาด และน้ำทิ้งจากการซักล้างต่างๆ
จะทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยกว่าน้ำที่ซักล้างด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ทำจากสารเคมี
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสเปรี้ยว(แก่จัดหรือสุก-ใช้ทั้งเปลือก)
3 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ
1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด
10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM) ชนิดน้ำ ปริมาณเล็กน้อย
การหมักผลไม้บางชนิดไม่ต้องใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์ก็ได้
เช่น มะเฟืองสุก สับปะรดสุกงอมทั้งเปลือก เปลือกสับปะรด มะกรูด องุ่น
เพราะผลไม้พวกนี้จะมีจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)อยู่ในตัวเองแล้ว
ถ้าไม่มีหัวเชื้อจุลินทรีย์EM จะใช้นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต(มีจุลินทรีย์แลคโตบาซิลลัส
1 ขวด ) แป้งข้าวหมาก 1 ก้อน
หรือน้ำดองผัก-ผลไม้ที่กลิ่นดี 1/2 แก้วแทนได้ วิธีทำ
ผสมน้ำตาลทรายกับน้ำสะอาดในถังพลาสติก
คนให้น้ำตาลละลาย
จากนั้นหั่นผลไม้ตามขวางให้เป็นชิ้นเล็กๆใส่ลงในถังที่ละลายน้ำตาลไว้
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) แล้วปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้ประมาณ 1-3 เดือน
ขึ้นอยู่กับว่าจะนำน้ำหมักนั้นมาใช้ประโยชน์อะไร การหมักในระยะ
1-2 สัปดาห์แรกจะเกิดฟองอากาศขึ้นมาจำนวนมาก
มีฝ้าสีขาวขึ้นที่ผิวด้านบนน้ำหมัก และมีกลิ่นหอมคล้ายไวน์
นั่นถือว่าการหมักได้ผลดี
แต่ถ้าที่ผิวหน้ามีราสีดำขึ้นและมีกลิ่นเหม็นเน่า
แสดงว่าเกิดการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ตัวร้ายไม่ควรนำไปใช้งาน
ถ้านำไปเททิ้งที่ใดที่นั่นก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่ามากๆไปนานเลย กลิ่นเหมือนส้วมแตก
ถ้าเทบนลานปูนซีเมนต์ที่ถูกแสงแดดจัดๆส่องตลอดวันก็จะหายเหม็นเร็วขึ้นหน่อย
แต่ก็มีบางคนนำไปใช้กำจัดวัชพืชโดยใช้ชนิดเข้มข้นฉีดพ่นไปบนใบวัชพืช
ใบวัชพืชจะแห้งเหี่ยวเฉาตาย
แต่ขอบอกว่า"เหม็นมาก"และเหม็นนานกว่าจะหาย
และเมื่อวัชพืชตายแล้วต้องฉีดพ่นซ้ำด้วยEMเพื่อปรับสภาพแวดล้อมให้ฟื้นกลับคืนมา
2. น้ำหมักจากผลไม้รสฝาด
ผลไม้ที่มีรสฝาด เช่น มังคุด
ทับทิม ลูกหว้า เปลือกมังคุด เปลือกทับทิม จะมีกรดอินทรีย์
วิตามินซี ธาตุฟอสฟอรัส แคลเซียม และมีสารแทนนิน น้ำหมักที่ได้จะมีฤทธิ์เป็นกรดและมีความฝาด
ซึ่งความฝาดนี้จะมีสรรพคุณในการสมานแผลและยับยั้งหรือกำจัดเชื้อจุลินทรีย์จำพวกเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้
จึงสามารถนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดนี้ไปผสมน้ำอาบหรือผสมสบู่ล้างหน้า-อาบน้ำ
จะช่วยบรรเทาอาการอักเสบของสิวหรือแผลพุพองตามผิวหนัง ช่วยลดกลิ่นตัวได้
นอกจากนี้ยังนำไปใชในการป้องกันกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิดได้ด้วย
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสฝาด
(แก่จัด-ใช้ได้ทุกส่วน) 3 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายธรรมชาติ
หรือกากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)
ชนิดน้ำ ปริมาณเล็กน้อย
อัตราส่วนและวิธีการทำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดคล้ายกับการทำน้ำหมักจากผลไม้รสเปรี้ยว แต่ถ้าจะนำไปใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช
ควรเปลี่ยนส่วนผสมจากน้ำตาลทรายธรรมชาติมาเป็นกากน้ำตาลเพื่อลดต้นทุนการผลิต
วิธีทำ
ผสมน้ำตาลทรายหรือกากน้ำตาลกับน้ำสะอาดในถังพลาสติกให้ละลายเข้ากันดี
จากนั้นหั่นผลไม้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ (สำหรับลูกหว้าควรตำให้เมล็ดแตก
เพราะความฝาดจะอยู่ที่เมล็ดมากกว่า) ใส่ผลไม้ลงในถังที่ละลายน้ำตาลไว้
เติมหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)ลงไปเล็กน้อย(ถ้าเคยหมักน้ำหมักชีวภาพมะเฟืองมาแล้ว
อาจตักแผ่นวุ้นจากผิวหน้าน้ำหมักฯมะเฟืองมาใส่ก็ได้)
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) แล้วปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้อย่างน้อย 3 เดือน การหมักในระยะ 1-2 สัปดาห์แรกจะเกิดฟองอากาศขึ้นมาจำนวนมาก มีฝ้าสีขาวขึ้นที่ผิวด้านบนน้ำหมัก
และมีกลิ่นหอมคล้ายไวน์ นั่นถือว่าการหมักได้ผลดี
การนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รสฝาดไปใช้ประโยชน์
-ใช้ผสมน้ำล้างหน้า-อาบ
ใช้น้ำหมักชีวภาพผสมน้ำ 1 ส่วน ต่อน้ำ 30-50 ส่วน จะช่วยลดสิวอักเสบ ลดกลิ่นตัว ช่วยบำบัดและรักษาโรคผิวหนังบางชนิด
- ใช้เป็นส่วนผสมในสบู่เหลวอาบน้ำใช้น้ำหมักชีวภาพผสมในสบู่อาบน้ำ-ล้างหน้า
(3-5 %) จะทำให้ผิวสะอาด ช่วยอาการอักเสบของสิว
ช่วยลดกลิ่นตัว ช่วยบำบัดและรักษาโรคผิวหนังพุพองบางชนิด- ใช้ป้องกันโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราใช้น้ำหมักชีวภาพ
30-50 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร
แช่เมล็ดพันธุ์พืชก่อนปลูก
ช่วยป้องกันเมล็ดพันธุ์หรือต้นกล้าเน่าที่มีสาเหตุจากเชื้อรา หรือฉีดพ่นให้ต้นพืช
ฉีดพ่นในแปลงปลูก เป็นประจำ หรือปล่อยไปกับน้ำที่ไขเข้าในนา จะช่วยป้องกันโรค
ที่มีสาเหตุจากเชื้อราบางชนิดได้
3. น้ำหมักผลไม้รวม
การหมักผลไม้ที่มีรสหวานมันหรือผลไม้ที่มีเนื้อสีเหลือง-ส้ม-แดง
โดยใช้ทั้งเปลือกและเมล็ด เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก
ฟักทองแก่จัด มะม่วงสุก ขนุนสุก ทุเรียนสุก ฯลฯ ใช้ผลไม้หลายๆชนิดหมักรวมกัน
น้ำหมักที่ได้จะมีคุณสมบัติเป็นฮอร์โมนบำรุงดอกและผล
ส่วนผสม
1. ผลไม้รสหวานมันหลายๆชนิด (แก่จัด-สุกงอม-ใช้ได้ทุกส่วน)
3 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
4. หัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ(EM)
วิธีทำ
หั่นผลไม้เป็นชิ้นเล็กๆ
คลุกเคล้าผลไม้กับกากน้ำตาลและหัวเชื้อจุลินทรีย์ ใส่ลงในถังพลาสติก
ควรเลือกใช้ถังขนาดที่เมื่อใส่วัตถุดิบทั้งหมดแล้วเหลือที่อากาศเพียงเล็กน้อย(เหลือที่ประมาณ
1 ใน 10 ส่วน) จากนั้นปิดฝาถังให้สนิท
หมักไว้จนครบ 7 วัน จึงเปิดฝาถัง เติมน้ำสะอาด 10 ลิตร คนส่วนผสมให้เข้ากัน แล้วปิดฝาถังให้สนิทหมักต่อไปและต้องหมักไว้ไม่ต่ำกว่า
3 เดือน จึงจะนำมาใช้ได้ เพื่อให้ปูนขาวที่อยู่ในกากน้ำตาลสลายตัวจนหมดหรือยิ่งหมักนานๆยิ่งดี
ถ้ากากน้ำตาลในน้ำหมักฯยังสลายตัวไม่หมดแล้วนำน้ำหมักฯมาใช้กับพืชติดต่อกันในระยะเวลาหนึ่งอาจจะเกิดอันตรายต่อพืชได้
เพราะจะทำให้หน้าดินแข็งหรืออาจมีศัตรูพืชจำพวกเพลี้ยและมดมาทำลายพืชได้
การนำน้ำหมักชีวภาพจากผลไม้รวมไปใช้ประโยชน์- ใช้บำรุงต้นพืชจำพวกไม้ดอกและไม้ผล
ใช้น้ำหมักชีวภาพ
1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่นให้ต้นพืชหรือฉีดพ่นในแปลงปลูกเป็นประจำ จะช่วยบำรุงให้พืชออกดอกออกผลดี
ผลไม้รสชาติอร่อย
บทที่3
วิธีการดำเนินโครงงาน
3.1วัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ
1. เปลือกสับปะรด 3กิโลกรัม
2. น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
3. น้ำสะอาด 10 ลิตร
3.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน
1.เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม

2.หั่นสับปะรดเป็นชิ้นเล็กๆ
3.ใส่สับปะรดลงในถังดำ 3 กิโลกรัม
4.ใส่น้ำตาล1กิโลกรัมใส่ให้ทั่วถัง
5.คนให้เข้าๆกันจนกว่าน้ำตาลจะละลายจนหมด
6.ปิดฝาวางไว้ในที่ร่มรอจน
3-4 เดือน
บทที่4
ผลการดำเนินงาน
4.1 ผลการดำเนินงาน
การจัดทำโครงงานน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดผู้จัดทำได้เริ่มดำเนินการตั้งแต่บทที่
3แล้วได้รู้ว่าการทำน้ำหมักจากธรรมชาติซึ่งไม่มีสารเคมีปนเปื้อนมันก็จะดีกว่าการเอาน้ำยาล้างพื้นที่ที่มีสารเคมีมาใช้ต่อสิ่งแวดล้อมแล้วไม่ทำให้เป็นอันตรายต่อตัวเราอีกด้วยซึ่งทางผู้จัดทำได้ทำการทดลองมันก็สามารถขัดพื้นได้สะอาดจริงแล้วถ้านำไปพัฒนาต่อก็สามารถสร้างรายได้ให้แก่ครอบครัวได้อีกด้วย
4.2
การนำไปใช้
ใช้ในการขัดพื้นห้องน้ำถ้าเหลือสามารถนำไปล้างจานได้อีกด้วย
บทที่5
สรุป อภิปรายและข้อเสนอแนะ
5.1
สรุปผลการดำเนินโครงงาน
จากผลการทดลองน้ำหมักชีวภาพจากเปลือกสับปะรดสรุปได้ว่า
การทำน้ำหมักจากธรรมชาติที่ไร้สารเคมีได้ประสิทธิภาพจริงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
น้ำหมักชีวภาพจะได้กลิ่นเปรี้ยวอมหวานและความเข้มข้นที่ย่อยเป็นจุลินทรีย์ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการล้างพื้นห้องน้ำได้จริง
5.2
ปัญหาและอุปสรรค
1. เวลาว่างของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
ไม่ค่อยตรงกัน
2.เงินไม่ค่อยเพียงพอต่อการหาซื้ออุปกรณ์และทำรายงาน
3. การปฏิบัติโครงงานมีการลงพื้นที่บ่อยครั้ง
5.3ข้อเสนอแนะและแนวทางการพัฒนา
สามารถนำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวหรือรสหวานมาทำน้ำหมักชีวภาพได้อีก
เช่น มะกรูด มะนาว







เก่งๆ
ตอบลบดีงามจ๊ะ
ตอบลบเก่งๆ
ตอบลบเก่งๆจ้า
ตอบลบปรมมือๆ
ตอบลบ